เตรียมพร้อมรับมืออาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ในอเมริกา: คู่มือยาพื้นฐานสำหรับน้องๆ Work and Travel

การได้ไปใช้ชีวิตและทำงานที่อเมริกาถือเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางไกลและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง อาจทำให้เราเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ กันได้ การเตรียมความพร้อมเรื่องยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้น้องๆ ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้เมื่อมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง บทความนี้จะมาแนะนำยาพื้นฐานที่น้องๆ สามารถหาซื้อได้เองในอเมริกาโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ หรือที่เรียกว่า “Over-the-Counter” (OTC) เพื่อให้น้องๆ สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมั่นใจครับ

ทำความรู้จักกับร้านขายยาและที่ซื้อยาในอเมริกา

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักสถานที่สำหรับหาซื้อยากันก่อนในอเมริกา น้องๆ สามารถหายาประเภท OTC ได้ง่ายตามร้านขายยาขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะไม่ได้ขายแค่ยา แต่มีสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ด้วย ร้านที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ CVS Pharmacy และ Walgreens ซึ่งมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศและบางสาขาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ตามซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ทั่วไป เช่น Walmart, Target, Costco หรือ Kroger ก็มีแผนกขายยา OTC ที่มีตัวเลือกหลากหลายไม่แพ้กัน น้องๆ สามารถเดินเข้าไปเลือกซื้อยาที่ต้องการได้จากชั้นวางยาได้เลย

สิ่งสำคัญที่น้องๆ ควรรู้คือ ยาทุกชนิดในอเมริกาจะมีฉลากที่เรียกว่า “Drug Facts” อยู่บนกล่องหรือขวด ซึ่งจะระบุข้อมูลสำคัญไว้อย่างชัดเจน ได้แก่:

  • Active Ingredient: ตัวยาสำคัญและปริมาณ
  • Uses: สรรพคุณของยา
  • Warnings: คำเตือนและข้อควรระวัง
  • Directions: วิธีใช้และขนาดรับประทานตามช่วงวัย
  • Other Information: ข้อมูลอื่นๆ เช่น การเก็บรักษา
  • Inactive Ingredients: ส่วนประกอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวยา

การอ่านฉลาก “Drug Facts” ให้เข้าใจจะช่วยให้น้องๆ ใช้ยาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยครับ

ยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้ในอเมริกา

ต่อไปนี้คือรายการยาพื้นฐานสำหรับอาการต่างๆ ที่น้องๆ อาจพบเจอ พร้อมชื่อสามัญทางยาและชื่อยี่ห้อที่เป็นที่นิยม เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาครับ

1. ยาแก้ปวดและลดไข้ (Pain and Fever Relievers)

เป็นกลุ่มยาที่จำเป็นที่สุด ควรมีติดตัวไว้เสมอสำหรับอาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน และลดไข้

  • อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen): เป็นยาพาราเซตามอลที่เรารู้จักกันดีในประเทศไทย ปลอดภัยสำหรับอาการปวดและลดไข้ทั่วไป แต่ควรระวังไม่รับประทานเกินขนาดที่กำหนด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตับได้
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Tylenol (ไทลินอล)
    • ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่: โดยทั่วไปคือ 325-650 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง หรือ 1,000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen): เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ลดไข้และบรรเทาอาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือปวดประจำเดือนได้ดี
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Advil (แอดวิล), Motrin (โมทริน)
    • ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่: 200-400 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน ควรรับประทานยาหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

2. ยาแก้แพ้ (Allergy Relief)

สำหรับน้องๆ ที่มีอาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้อากาศ (จาม, คันจมูก, น้ำมูกไหล) หรือแพ้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น แพ้ฝุ่น หรือขนสัตว์

  • ลอราทาดีน (Loratadine): เป็นยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงซึม เหมาะสำหรับรับประทานในช่วงกลางวัน
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Claritin (คลาริติน)
  • เซทิริซีน (Cetirizine): เป็นยาแก้แพ้ที่ออกฤทธิ์ได้ดี แต่บางคนอาจมีอาการง่วงซึมได้เล็กน้อย
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Zyrtec (ไซร์เทค)
  • ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine): เป็นยาแก้แพ้รุ่นเก่าที่ออกฤทธิ์แรงและทำให้ง่วงซึม จึงเหมาะสำหรับบรรเทาอาการแพ้รุนแรงหรือรับประทานก่อนนอน
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Benadryl (เบนาดริล)

ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ (Loratadine/Cetirizine): 10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง

3. ยาแก้ไอและแก้หวัด (Cough and Cold Remedies)

อาการไอและหวัดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย การเลือกยาให้ตรงกับอาการจะช่วยให้หายเร็วขึ้น

  • ยาแก้ไอ (Cough):
    • Dextromethorphan (เดกซ์โทรเมทอร์แฟน): สำหรับระงับอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ (Cough Suppressant)
    • Guaifenesin (ไกวเฟนิซิน): สำหรับขับเสมหะ ช่วยให้เสมหะเหนียวน้อยลงและไอออกมาง่ายขึ้น (Expectorant)
  • ยาแก้คัดจมูก (Decongestant):
    • Pseudoephedrine (ซูโดอีเฟดรีน) หรือ Phenylephrine (ฟีนิลเอฟรีน): ช่วยลดอาการบวมของหลอดเลือดในโพรงจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น
  • ยาอมแก้เจ็บคอ (Sore Throat Lozenges): ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและเจ็บคอได้ดี มีหลากหลายรสชาติให้เลือก

ยาแก้หวัดในอเมริกามักจะเป็นยาสูตรผสม (Combination) ที่รวมตัวยาหลายชนิดไว้ในเม็ดเดียวเพื่อบรรเทาหลายอาการพร้อมกัน น้องๆ ควรอ่านฉลากเพื่อเลือกสูตรที่ตรงกับอาการของตัวเองมากที่สุด

  • ยี่ห้อที่รู้จัก: Vicks (วิคส์) ซึ่งมีทั้งสูตรกลางวัน (DayQuil) ที่ไม่ทำให้ง่วง และสูตรกลางคืน (NyQuil) ที่ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น, Robitussin (โรบิทัสซิน), Mucinex (มิวซิเน็กซ์)

4. ยาสำหรับระบบทางเดินอาหาร (Digestive Health)

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสีย ก็เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราลองทานอาหารที่ไม่คุ้นเคย

  • ยาแก้ท้องเสีย (Anti-Diarrheal):
    • โลเพอราไมด์ (Loperamide): ช่วยชะลอการทำงานของลำไส้และลดจำนวนครั้งที่ถ่าย
      • ยี่ห้อที่รู้จัก: Imodium (อโมเดียม)
      • ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่: เริ่มต้น 4 มิลลิกรัม (2 เม็ด) หลังจากนั้นรับประทาน 2 มิลลิกรัม (1 เม็ด) ทุกครั้งที่ถ่ายเหลว แต่ไม่เกิน 8 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ยาลดกรด แก้ท้องอืด (Antacids):
    • Calcium Carbonate (แคลเซียมคาร์บอเนต): สำหรับลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก
      • ยี่ห้อที่รู้จัก: Tums (ทัมส์)
  • ยาแก้เมาเรือ เมาเครื่องบิน (Motion Sickness):
    • Dimenhydrinate (ไดเมนไฮดริเนต):
      • ยี่ห้อที่รู้จัก: Dramamine (ดรามามีน)

5. ยาสำหรับใช้ภายนอกและปฐมพยาบาล (First Aid)

อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ หรือการโดนแมลงกัดต่อยก็เป็นเรื่องที่ควรเตรียมพร้อม

  • ยาทาฆ่าเชื้อ (Antiseptic/Antibiotic Ointment): สำหรับทาแผลสดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Neosporin (นีโอสปอริน)
  • ยาทาแก้คันและผื่นแพ้ (Anti-Itch Cream):
    • ไฮโดรคอร์ติโซน 1% (Hydrocortisone 1% Cream): เป็นสเตียรอยด์ชนิดอ่อน สำหรับทาเพื่อลดอาการคัน บวมแดง จากแมลงกัดต่อยหรือผื่นแพ้ที่ไม่รุนแรง
    • ยี่ห้อที่รู้จัก: Cortizone-10 (คอร์ติโซน-เท็น)
  • พลาสเตอร์ยา (Band-Aids): สำหรับปิดแผลขนาดเล็ก
  • ผ้าพันแผล (Bandages) และเทปปิดแผล (Medical Tape)

การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับรับมือกับอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้น้องๆ อุ่นใจและสามารถสนุกกับการใช้ชีวิตในโครงการ Work and Travel ได้อย่างเต็มที่ การรู้จักชื่อสามัญทางยาและยี่ห้อที่เป็นที่นิยมในอเมริกาจะช่วยให้น้องๆ สามารถเลือกซื้อยาที่จำเป็นได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ยา OTC เหล่านี้เหมาะสำหรับบรรเทาอาการเบื้องต้นเท่านั้น หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาไป 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูงต่อเนื่อง หายใจลำบาก หรือมีอาการแพ้ยา ควรรีบไปพบแพทย์ที่คลินิก (Urgent Care) หรือโรงพยาบาลทันที ขอให้น้องๆ ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ มีสุขภาพแข็งแรง และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ กลับมานะครับ!

ดอลลาร์สหรัฐ: เจาะลึกทุกแง่มุมของธนบัตรและเหรียญกษาปณ์สกุลเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

ดอลลาร์สหรัฐ (United States Dollar) หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อ USD และสัญลักษณ์ $ ไม่ได้เป็นเพียงสกุลเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ เป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด และเป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการทั่วโลก บทความนี้จะพาท่านไปเจาะลึกถึงรายละเอียดของธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ดอลลาร์สหรัฐที่ใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เหรียญ 1 เซนต์ไปจนถึงธนบัตร 100 ดอลลาร์ พร้อมทั้งประวัติความเป็นมา การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ และความหมายที่ซ่อนอยู่

เหรียญกษาปณ์ (Coins)

เหรียญกษาปณ์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหน่วยย่อยของเงินดอลลาร์ แต่ละเหรียญมีชื่อเรียกเฉพาะตัวและบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติ

1. เพนนี (Penny) – มูลค่า 0.01 ดอลลาร์ ($0.01)

  • ภาพบุคคล: อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ผู้เลิกทาสและนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมือง
  • ด้านหลัง (ปัจจุบัน): โล่แห่งสหภาพ (Union Shield) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของลินคอล์นในการรักษาสหภาพให้เป็นหนึ่งเดียว
  • รายละเอียด: แม้จะมีมูลค่าเพียงน้อยนิด แต่เพนนีเป็นเหรียญที่มีการผลิตมากที่สุด เหรียญในปัจจุบันทำจากสังกะสีที่เคลือบด้วยทองแดง ในอดีตเคยมีด้านหลังเป็นรูปช่อรวงข้าวสาลีและอนุสรณ์สถานลินคอล์น

2. นิกเกิล (Nickel) – มูลค่า 0.05 ดอลลาร์ ($0.05)

  • ภาพบุคคล: โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ประธานาธิบดีคนที่ 3 และเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
  • ด้านหลัง: มอนติเซลโล (Monticello) บ้านพักและไร่ของเจฟเฟอร์สันในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่เขาออกแบบเอง
  • รายละเอียด: ชื่อ “นิกเกิล” มาจากส่วนผสมของโลหะนิกเกิล 25% และทองแดง 75% การออกแบบในปัจจุบันเริ่มใช้ในปี 1938 และมีการปรับปรุงเล็กน้อยในปี 2006 โดยเปลี่ยนภาพใบหน้าของเจฟเฟอร์สันเป็นมองตรง

3. ไดม์ (Dime) – มูลค่า 0.10 ดอลลาร์ ($0.10)

  • ภาพบุคคล: แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 32 ผู้นำพาสหรัฐอเมริกาผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่สอง
  • ด้านหลัง: คบเพลิงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ขนาบข้างด้วยกิ่งมะกอก (สันติภาพ) และกิ่งโอ๊ก (ความแข็งแกร่ง)
  • รายละเอียด: เหรียญไดม์เป็นเหรียญที่เล็กและบางที่สุดในบรรดาเหรียญที่ใช้หมุนเวียน การนำภาพของประธานาธิบดีโรสเวลต์มาไว้บนเหรียญนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านในการก่อตั้งองค์กร “March of Dimes” เพื่อต่อสู้กับโรคโปลิโอ

4. ควอร์เตอร์ (Quarter) – มูลค่า 0.25 ดอลลาร์ ($0.25)

  • ภาพบุคคล: จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาและผู้นำกองทัพปฏิวัติ
  • ด้านหลัง (ปัจจุบัน): การออกแบบจะแตกต่างกันไปตามโครงการต่างๆ เช่น โครงการ 50 State Quarters ที่นำเสนอเอกลักษณ์ของแต่ละรัฐ หรือโครงการ America the Beautiful Quarters ที่นำเสนออุทยานแห่งชาติและสถานทีสำคัญทางประวัติศาสตร์
  • รายละเอียด: ควอร์เตอร์เป็นเหรียญที่มีการใช้งานแพร่หลายมากที่สุดในการทำธุรกรรมย่อยๆ และเครื่องหยอดเหรียญต่างๆ การออกแบบด้านหลังที่หลากหลายทำให้เหรียญควอร์เตอร์เป็นที่นิยมในหมู่นักสะสม

5. ฮาล์ฟดอลลาร์ (Half Dollar) – มูลค่า 0.50 ดอลลาร์ ($0.50)

  • ภาพบุคคล: จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา
  • ด้านหลัง: ตราประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (Presidential Seal) ที่ดัดแปลงเล็กน้อย
  • รายละเอียด: แม้จะยังคงมีการผลิตอยู่ แต่เหรียญฮาล์ฟดอลลาร์ไม่ค่อยได้พบเห็นในการใช้จ่ายประจำวันทั่วไป เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มักเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงประธานาธิบดีเคนเนดี เหรียญนี้ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1964 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากการลอบสังหารท่าน

ธนบัตร (Banknotes)

ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐทุกฉบับมีขนาดเท่ากันคือ 6.14 x 2.61 นิ้ว และทำจากกระดาษพิเศษที่ทอจากผ้าฝ้ายและลินินเพื่อความทนทานเป็นพิเศษ

1. ธนบัตร 1 ดอลลาร์ ($1)

  • ภาพบุคคล: จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) เช่นเดียวกับเหรียญควอร์เตอร์ การปรากฏตัวของท่านบนธนบัตรที่มีมูลค่าต่ำที่สุดและใช้บ่อยที่สุดสะท้อนถึงความสำคัญในฐานะ “บิดาแห่งชาติ”
  • ด้านหลัง: ตราประทับที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา (Great Seal of the United States) โดยด้านซ้ายคือพีระมิดที่ยังสร้างไม่เสร็จพร้อมดวงตาแห่งพระเจ้า (Eye of Providence) และด้านขวาคืออินทรีหัวขาวซึ่งเป็นนกประจำชาติ
  • เกร็ดน่ารู้: ธนบัตร 1 ดอลลาร์เป็นธนบัตรเดียวที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบครั้งใหญ่เลยนับตั้งแต่ปี 1963 และเป็นธนบัตรที่ไม่มีมาตรการป้องกันการปลอมแปลงที่ซับซ้อนเท่าธนบัตรมูลค่าสูงกว่า

2. ธนบัตร 2 ดอลลาร์ ($2)

  • ภาพบุคคล: โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)
  • ด้านหลัง: ภาพวาด “การประกาศอิสรภาพ” (Declaration of Independence) โดย จอห์น ทรัมบูลล์ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การลงนามในคำประกาศอิสรภาพ
  • เกร็ดน่ารู้: ธนบัตร 2 ดอลลาร์เป็นธนบัตรที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในการหมุนเวียน ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นของหายากหรือเลิกผลิตไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังคงมีการพิมพ์อยู่เป็นระยะๆ และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

3. ธนบัตร 5 ดอลลาร์ ($5)

  • ภาพบุคคล: อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)
  • ด้านหลัง: อนุสรณ์สถานลินคอล์น (Lincoln Memorial) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
  • มาตรการป้องกันการปลอมแปลง: ธนบัตร 5 ดอลลาร์รุ่นใหม่มีแถบเส้นใยนิรภัยฝังในเนื้อกระดาษซึ่งจะเรืองแสงเป็นสีน้ำเงินภายใต้แสงอัลตราไวโอเลต และมีลายน้ำรูปเลข “5” ขนาดใหญ่อยู่ทางด้านขวา

4. ธนบัตร 10 ดอลลาร์ ($10)

  • ภาพบุคคล: อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนแรกของสหรัฐอเมริกา และเป็นบุคคลสำคัญในการวางรากฐานระบบการเงินของประเทศ เขาเป็นหนึ่งในสองบุคคลที่ไม่ใช่ประธานาธิบดีที่ปรากฏบนธนบัตร (อีกคนคือเบนจามิน แฟรงคลิน)
  • ด้านหลัง: อาคารกระทรวงการคลังสหรัฐ (U.S. Treasury Building)
  • มาตรการป้องกันการปลอมแปลง: มีแถบเส้นใยนิรภัยที่เรืองแสงเป็นสีส้มภายใต้แสงยูวี, ลายน้ำรูปแฮมิลตัน, และหมึกพิมพ์เปลี่ยนสีได้ที่ตัวเลข “10” บริเวณมุมขวาล่าง

5. ธนบัตร 20 ดอลลาร์ ($20)

  • ภาพบุคคล: แอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) ประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา
  • ด้านหลัง: ทำเนียบขาว (The White House)
  • มาตรการป้องกันการปลอมแปลง: เป็นธนบัตรที่มีการใช้จ่ายแพร่หลายที่สุดและตกเป็นเป้าของการปลอมแปลงบ่อยครั้ง รุ่นปัจจุบันจึงมีมาตรการป้องกันที่ทันสมัย เช่น แถบเส้นใยนิรภัยที่เรืองแสงเป็นสีเขียว, ลายน้ำรูปแจ็กสัน, และหมึกพิมพ์เปลี่ยนสีได้ที่ตัวเลข “20”

6. ธนบัตร 50 ดอลลาร์ ($50)

  • ภาพบุคคล: ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ (Ulysses S. Grant) ประธานาธิบดีคนที่ 18 และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฝ่ายสหภาพในสงครามกลางเมือง
  • ด้านหลัง: อาคารรัฐสภาสหรัฐ (U.S. Capitol)
  • มาตรการป้องกันการปลอมแปลง: มีการใช้สีพื้นหลังโทนฟ้าและแดง, แถบเส้นใยนิรภัยที่เรืองแสงเป็นสีเหลือง, ลายน้ำรูปแกรนต์, และหมึกพิมพ์เปลี่ยนสีได้

7. ธนบัตร 100 ดอลลาร์ ($100)

  • ภาพบุคคล: เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ ผู้เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักการทูต และนักประดิษฐ์
  • ด้านหลัง: อินดิเพนเดนซ์ฮอลล์ (Independence Hall) ในเมืองฟิลาเดลเฟีย สถานที่ที่มีการลงนามในคำประกาศอิสรภาพและรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา
  • มาตรการป้องกันการปลอมแปลงที่ล้ำสมัย: ธนบัตร 100 ดอลลาร์รุ่นล่าสุดเป็นธนบัตรที่มีเทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลงสูงที่สุด ประกอบด้วย:
    • แถบเส้นใยนิรภัย 3 มิติ (3-D Security Ribbon): แถบสีน้ำเงินที่ทอเข้าไปในเนื้อกระดาษ เมื่อเอียงธนบัตรจะเห็นภาพระฆังและตัวเลข 100 เคลื่อนไหวสลับกัน
    • ระฆังในขวดหมึก (Bell in the Inkwell): ภาพระฆังสีทองแดงที่อยู่ในขวดหมึก เมื่อเอียงธนบัตร สีของระฆังจะเปลี่ยนจากสีทองแดงเป็นสีเขียว ทำให้ดูเหมือนระฆังปรากฏขึ้นและหายไปในขวดหมึก
    • ลายน้ำรูปแฟรงคลิน
    • หมึกพิมพ์เปลี่ยนสีได้ที่ตัวเลข “100″
    • เส้นใยนิรภัยที่เรืองแสงเป็นสีชมพู

เรื่องลับๆ ของ “อำนาจเงินดอลลาร์” (The Dollar’s Superpower)

เอาล่ะ มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายคนอยากรู้…ทำไมเงินดอลลาร์ถึงได้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าขนาดนี้? มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญนะ แต่มันมีที่มาที่ไป!

  1. พี่ใหญ่แห่งทุนสำรองโลก (World’s Reserve Currency): ลองนึกภาพตามนะ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก เวลาจะเก็บเงินออมของประเทศ (เหมือนเราเก็บเงินในธนาคาร) เขาไม่ได้เก็บเป็นเงินสกุลของตัวเองทั้งหมด แต่จะเก็บ “เงินดอลลาร์” ไว้เป็นส่วนใหญ่! ทำไม? เพราะมันมั่นคง ซื้อง่ายขายคล่อง และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เวลาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง เงินดอลลาร์ที่เก็บไว้นี่แหละคือเบาะรองรับชั้นดี
  2. สกุลเงินกลางในการซื้อขาย (The Trade Currency): ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายน้ำมัน, ทองคำ, สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ในตลาดโลก เขามักจะตีราคาและจ่ายเงินกันเป็น “ดอลลาร์สหรัฐฯ” เสมอ เช่น ญี่ปุ่นจะซื้อน้ำมันจากซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองประเทศก็มักจะตกลงซื้อขายกันเป็นดอลลาร์ ไม่ใช่เงินเยนหรือเงินริยาล นี่แหละที่ทำให้ดอลลาร์เป็นที่ต้องการของทุกประเทศที่ต้องทำการค้า
  3. หลุมหลบภัยทางการเงิน (Safe Haven): เวลาเกิดสงคราม เกิดโรคระบาด หรือวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงที่ไหนในโลก นักลงทุนมักจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยงๆ ในประเทศนั้น แล้วรีบวิ่งไปซื้อ “เงินดอลลาร์” หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เก็บไว้ เพราะเชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นสวนกระแสโลกเสมอ
  4. พลังจากขนาดเศรษฐกิจและกองทัพ: ปฏิเสธไม่ได้ว่าเบื้องหลังความเชื่อมั่นทั้งหมดนี้คือขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเหมือน “ผู้ค้ำประกัน” ที่ทำให้คนทั้งโลกมั่นใจว่าเงินดอลลาร์จะไม่มีวันล่มสลายง่ายๆ

สรุปง่ายๆ ก็คือ อำนาจของเงินดอลลาร์ไม่ได้มาจากตัวกระดาษหรือเหรียญ แต่มาจาก “ความเชื่อมั่น” ของคนทั้งโลกที่ถูกสร้างสมมานานหลายสิบปีนั่นเอง!

หวังว่าการทัวร์โลกของเงินดอลลาร์ในวันนี้จะทำให้น้อง ๆ ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน คราวหน้าเวลาหยิบแบงก์ดอลลาร์ขึ้นมาดู คงไม่ได้เห็นแค่ตัวเลข แต่จะเห็นเรื่องราวประวัติศาสตร์และอำนาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างแน่นอน!

ต่างรัฐ ต่างการปรับตัว อเมริกามีสภาพภูมิอากาศแบบไหนบ้าง?

                สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ด้วยขนาดที่ใหญ่ครอบคลุมทั้งละติจูดเหนือจากเขตอาร์กติก ไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวเม็กซิโก ทำให้เกิดภูมิประเทศหลายรูปแบบ เช่น ทุนดรา ป่าดิบชื้น ป่าผลัดใบ ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ซึ่งแต่ละแบบล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งในแง่ของธรรมชาติ อุณหภูมิ สัตว์ป่า และฤดูกาลท่องเที่ยว

1. ทุนดรา (Tundra)

รัฐตัวอย่าง: อลาสก้า (Alaska), ตอนบนของมินนิโซตา (Minnesota)

                ภูมิประเทศทุนดราจะพบได้เฉพาะในพื้นที่แถบอาร์กติกที่หนาวจัดตลอดปี มีชั้นดินเยือกแข็งถาวร พืชพรรณเติบโตได้ยาก มักมีเพียงมอส ไลเคน และไม้พุ่มเตี้ย ๆ ฤดูร้อนสั้นและเย็น มีแสงแดดทั้งวัน ส่วนฤดูหนาวจะยาวนาน มืดมิด และอุณหภูมิต่ำสุดแบบติดลบหลายสิบองศา การท่องเที่ยวจึงจำกัดอยู่เพียงฤดูร้อนที่สั้นมาก

  • ฤดูท่องเที่ยว: กรกฎาคม–กันยายน
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 8–16°C / ฤดูหนาว -40 ถึง -10°C
  • การแต่งตัว: แจ็กเก็ตหนา หมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้าหนา รองเท้า snow boots แม้ในฤดูร้อนควรพกเสื้อกันลมและกันฝนเสมอ

2. ป่าสนเขตอบอุ่น (Temperate Coniferous Forest)

รัฐตัวอย่าง: วอชิงตัน (Washington), โอเรกอน (Oregon), ไอดาโฮ (Idaho)

                พื้นที่แถบนี้เต็มไปด้วยป่าสนและเฟิร์นเขียวชอุ่ม มีฝนตกชุกตลอดปี โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งแปซิฟิก เช่น Olympic National Park ที่จัดเป็นป่าดิบชื้นเขตอบอุ่น (temperate rainforest) ที่หายากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บรรยากาศหมอกบาง ๆ ปกคลุมยอดไม้เขียวเข้ม มีสัตว์ป่า เช่น กวางดำ หมีดำ และปลาแซลมอนตามลำธารน้ำเย็น

  • ฤดูท่องเที่ยว: พฤษภาคม–กันยายน (ฤดูแล้ง)
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 10–25°C / ฤดูหนาว 0–8°C
  • การแต่งตัว: แจ็กเก็ตกันฝน เสื้อแขนยาว กางเกงกันลม หมวกกันฝน รองเท้ากันน้ำ เหมาะกับการเดินป่าและลุยธรรมชาติ

3. ป่าผลัดใบเขตอบอุ่น (Temperate Deciduous Forest)

รัฐตัวอย่าง: นิวยอร์ก (New York), เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania), เวอร์มอนต์ (Vermont), เวอร์จิเนีย (Virginia)

                ภูมิประเทศนี้มีฤดูกาลชัดเจน 4 ฤดู พืชพรรณส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ผลัดใบ เช่น เมเปิ้ล โอ๊ค และเบิร์ช ซึ่งจะเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง กลายเป็นภาพภูเขาและป่าไม้สีส้มแดงสวยงามมาก ฤดูหนาวหิมะตกปกคลุมทั่วป่าเหมาะแก่กิจกรรมสโนว์ พื้นที่นี้ยังรวมเมืองประวัติศาสตร์และอุทยานที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

  • ฤดูท่องเที่ยว: ตุลาคม (ใบไม้เปลี่ยนสี) และเมษายน (ฤดูดอกไม้)
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 18–30°C / ฤดูหนาว -10 ถึง 5°C
  • การแต่งตัว: ใบไม้ร่วง – เสื้อแขนยาว เสื้อคอเต่า แจ็กเก็ตบาง / หนาว – โค้ทหนา ถุงมือ ผ้าพันคอ / ร้อน – เสื้อยืด กางเกงขาสั้น หมวกกันแดด

4. ทะเลทราย (Desert)

รัฐตัวอย่าง: แอริโซนา (Arizona), นิวเม็กซิโก (New Mexico), เนวาดา (Nevada), แคลิฟอร์เนียตอนใต้ (Southern California)

                ทะเลทรายของอเมริกาส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ มีอากาศร้อนและแห้งจัด ฝนตกน้อยมาก กลางวันร้อนถึง 40°C แต่กลางคืนอาจลดลงต่ำกว่า 10°C พืชพรรณหลักคือกระบองเพชรและพืชทนแล้ง เช่น โยชัวทรี แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น Monument Valley และ Death Valley เหมาะกับการเดินชมวิวในช่วงฤดูหนาว

  • ฤดูท่องเที่ยว: มีนาคม–เมษายน และตุลาคม–พฤศจิกายน
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 35–45°C / ฤดูหนาว 5–20°C
  • การแต่งตัว: กลางวัน – เสื้อแขนยาวระบายอากาศ กางเกงขายาวบาง หมวกปีกกว้าง / กลางคืน – แจ็กเก็ตบางและผ้าคลุม

5. ทุ่งหญ้า (Prairie / Grassland)

รัฐตัวอย่าง: แคนซัส (Kansas), เนแบรสกา (Nebraska), โอคลาโฮมา (Oklahoma), ไอโอวา (Iowa)

                เขตทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ของอเมริกาอยู่บริเวณ Great Plains กลางประเทศ สภาพอากาศกึ่งแห้งแล้ง มีลมแรงและฝนปานกลาง พื้นที่เหมาะกับการเพาะปลูกข้าวสาลีและเลี้ยงวัวควาย ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง พายุฟ้าคะนองอาจเกิดได้บ่อยในฤดูร้อน แต่ก็เป็นฤดูที่ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่สุด

  • ฤดูท่องเที่ยว: พฤษภาคม–มิถุนายน และกันยายน
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 25–35°C / ฤดูหนาว -5 ถึง 5°C
  • การแต่งตัว: เสื้อยืดแขนยาว หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด แจ็กเก็ตกันลมบาง รองเท้าเดินสบาย

6. ป่าดิบชื้นกึ่งร้อน (Subtropical Rainforest)

รัฐตัวอย่าง: ฟลอริดา (Florida), ลุยเซียนา (Louisiana), เท็กซัสตะวันออก (Eastern Texas)

                ภูมิประเทศแบบนี้มีความร้อนและความชื้นสูง ฝนตกชุกตลอดปี พื้นที่ปกคลุมด้วยป่าชุ่มน้ำ เช่น Everglades และ Bayou มีพืชเมืองร้อนจำนวนมาก เช่น ปาล์ม เฟิร์น ต้นไซเปรส มีสัตว์น้ำและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอาศัยอยู่ เช่น จระเข้ เต่า และนกน้ำ นักท่องเที่ยวควรระวังยุงและความชื้นสูงมากในฤดูร้อน

  • ฤดูท่องเที่ยว: พฤศจิกายน–เมษายน (เลี่ยงฤดูเฮอร์ริเคน)
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ตลอดปี 20–35°C
  • การแต่งตัว: เสื้อผ้าบาง ระบายอากาศดี หมวกปีกกว้าง สเปรย์กันยุง รองเท้าแตะหรือรองเท้ากันน้ำ

7. ภูเขาสูง (Alpine / Montane Biome)

รัฐตัวอย่าง: โคโลราโด (Colorado), มอนแทนา (Montana), ยูทาห์ (Utah), แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ (Northern California)

                ภูมิประเทศภูเขาสูงพบได้ในแนวเทือกเขาร็อกกี้และเซียร์ราเนวาดา ซึ่งมีระดับความสูงตั้งแต่ 2,000–4,000 เมตรขึ้นไป อุณหภูมิลดลงตามความสูง หิมะตกหนักในฤดูหนาวเหมาะกับสกีรีสอร์ท ฤดูร้อนเย็นสบาย เหมาะกับการปีนเขาและตั้งแคมป์ บริเวณยอดเขาอาจมีหิมะตลอดปี

  • ฤดูท่องเที่ยว: ฤดูหนาว (ธันวาคม–มีนาคม) สำหรับสกี / ฤดูร้อน (มิถุนายน–สิงหาคม) สำหรับเดินเขา
  • อุณหภูมิเฉลี่ย: ฤดูร้อน 10–25°C / ฤดูหนาว -15 ถึง 5°C
  • การแต่งตัว: หนาว – โค้ทหนา ชุดสกี ถุงมือ ผ้าพันคอ / ร้อน – เสื้อแขนยาวกันลม เสื้อฮู้ดเบา รองเท้า hiking

                จากเหนือจรดใต้ จากภูเขาสู่ชายฝั่ง สหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยภูมิประเทศและภูมิอากาศหลากหลายที่มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะชอบอากาศหนาว วิวภูเขา ป่าฝน หรือทะเลทราย ก็สามารถวางแผนให้เหมาะกับช่วงเวลา อุณหภูมิ และเสื้อผ้าที่เตรียมไปได้ การเข้าใจชีวนิเวศแต่ละแบบอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้การเดินทางปลอดภัย สะดวก และสนุกที่สุดในแบบที่เป็นตัวเรา

                สำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการอากาศคล้ายเมืองไทยมากที่สุด ควรเลือกเดินทางไปยังรัฐที่อยู่ในภูมิภาคป่าดิบชื้นกึ่งร้อน เช่น ฟลอริดา ลุยเซียนา หรือเท็กซัสตะวันออก ซึ่งมีอุณหภูมิสูงเกือบตลอดปี ความชื้นสูง และมีฝนตกสม่ำเสมอ เหมาะกับน้องที่ไม่ชอบอากาศหนาวและต้องการสภาพแวดล้อมที่คล้ายบ้านเรา

                และน้อง ๆ คนไหนที่อยากท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา โครงการ Work & Travel ของ IEE Thailand เปิดรับสมัครแล้วทั้งช่วง Spring และ Summer มาสัมผัสสหรัฐอเมริกาให้ครบรสสักครั้งในชีวิตกัน!

5 อุทยานแห่งชาติในอเมริกาที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต

สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นเพียงแค่ดินแดนแห่งโอกาสสำหรับใครหลายคนเท่านั้น หากแต่ยังเป็นดินแดนแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่โอบล้อมด้วยขุนเขา ทะเลทราย ป่าไม้ และธารน้ำอันงดงามดั่งหลุดมาจากโลกแฟนตาซี

สำหรับนักเดินทางที่ใฝ่ฝันอยากสัมผัสโลกในมุมที่เงียบสงบและบริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีสิ่งใดจะตอบโจทย์ได้เท่ากับการได้ก้าวเข้าสู่อุทยานแห่งชาติของอเมริกา อุทยานแต่ละแห่งมีบุคลิกเฉพาะตัว บ้างก็แข็งแกร่ง ดิบเถื่อน บ้างก็อ่อนโยน เรียบง่าย แต่ล้วนเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งใดเลียนแบบได้

ลองจินตนาการถึงการยืนอยู่หน้าหน้าผายักษ์ที่ถูกกัดเซาะมานับล้านปี เสียงน้ำตกกระทบโขดหินดังกังวานในหุบเขา หรือสีรุ้งที่ลอยไล้เหนือบ่อน้ำพุร้อนกลางทุ่งไอร้อน ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากคุณมีโอกาสได้เดินทางไปเยือน “5 อุทยานแห่งชาติที่ต้องเช็คอินในอเมริกา” ดังต่อไปนี้

Yellowstone National Park — ดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง

ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ หมอกบางลอยคลอเคลียพื้นหญ้าเหนือหุบเขา Lamar Valley เสียงฝูงควายไบซันกระทบพื้นดินดังก้องไปทั่ว เหมือนโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหวเพื่อให้ธรรมชาติได้ทำงานอย่างเงียบงัน ที่นี่คือ Yellowstone อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลก

Yellowstone คือบทกวีที่เขียนด้วยน้ำพุร้อน ไกเซอร์ และโคลนเดือด กลิ่นซัลเฟอร์ลอยแตะปลายจมูก ในขณะที่สีสันของ Grand Prismatic Spring สดใสราวภาพเขียนของศิลปินผู้บ้าคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และยังคงเกิดขึ้นทุกวันตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา

Grand Canyon National Park — เสี้ยวประวัติศาสตร์ที่ถูกเซาะเป็นร่องลึก

เมื่อดวงอาทิตย์ยามเย็นค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ผนังหินสีส้มแดงของหุบเขา Grand Canyon ก็เปลี่ยนเฉดสีช้า ๆ เงามืดของความลึกหลายร้อยเมตรทอดตัวยาว เผยให้เห็นร่องรอยเวลาที่ธรรมชาติใช้กว่า 5 ล้านปีในการสร้างมันขึ้นมา

ที่นี่คือหุบเขาที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะวัดด้วยสายตา มันไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่คือการเดินทางย้อนกลับไปสู่จุดกำเนิดของโลก ผู้คนที่มายืนริมขอบแกรนด์แคนยอน ต่างเงียบงันต่อความยิ่งใหญ่ตรงหน้า ราวกับได้เห็นความจริงของจักรวาลบางอย่างที่ไม่ต้องการคำอธิบาย

Yosemite National Park — บัลลังก์หินในหุบเขาแห่งความสงบ

Yosemite ไม่ได้ยิ่งใหญ่ในแง่ของขนาดเท่านั้น แต่มันยิ่งใหญ่ในความรู้สึก เมื่อคุณยืนอยู่หน้า El Capitan หน้าผาหินแกรนิตขนาดมหึมาที่ตัดกับท้องฟ้าสีคราม และได้ยินเสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้า เสียงนกกู่ร้องในหุบเขา และเสียงน้ำตก Yosemite Falls ที่ไหลรินตลอดฤดู

ผู้คนที่มาที่นี่มักใช้เวลาทั้งวันเดินป่าหรือถ่ายภาพ แต่หลายคนบอกว่า “สิ่งที่ดีที่สุดของ Yosemite ไม่ใช่การได้มองเห็น แต่มันคือการได้อยู่ตรงนั้น” ได้อยู่ในที่ที่โลกไม่ได้หมุนเร็วเกินไป และความเงียบคือเสียงที่งดงามที่สุด

Zion National Park — ทางแคบ ๆ สู่ความตื่นตะลึง

Zion เป็นอุทยานที่ให้ประสบการณ์แตกต่างจากที่อื่น ผนังหินสีแดงสูงตระหง่านคล้ายวิหารโบราณที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้าง ทางเดินริมผา Angels Landing ที่สูงชันและแคบจนคุณต้องยึดโซ่เหล็กไว้ทุกย่างก้าว ทำให้หัวใจเต้นแรงแต่กลับไม่อยากหยุดเดิน

และเมื่อคุณลุยน้ำในแม่น้ำ Virgin ที่ไหลคดเคี้ยวอยู่ในหุบเขาแคบ The Narrows หินผาทั้งสองฝั่งสูงกว่าร้อยเมตร ล้อมคุณไว้เหมือนเป็นอุโมงค์ธรรมชาติ ความเย็นของน้ำและแสงที่สะท้อนจากหิน ทำให้รู้สึกราวกับอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง

Acadia National Park — เช้าริมมหาสมุทรที่ไม่เหมือนใคร

หากอุทยานทั้งหลายคือบทเพลงของภูเขา Acadia ก็คือบทกวีแห่งทะเล ที่นี่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งของรัฐ Maine มีทั้งป่าสนหนาทึบ โขดหินริมมหาสมุทร และท้องฟ้าที่เปลี่ยนเฉดสีในยามเช้า Cadillac Mountain เป็นจุดแรกของอเมริกาที่แสงอาทิตย์สาดส่องถึงก่อนใคร และยามเช้าใน Acadia คือช่วงเวลาที่โลกดูสงบและเป็นของคุณคนเดียว

คุณสามารถพายเรือคายัคชมฝูงแมวน้ำที่โผล่หัวขึ้นมา หรือขี่จักรยานผ่านเส้นทางโบราณกลางป่าที่ชื่อว่า Carriage Roads ทุกซอกมุมของอุทยานนี้เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือภาพ — เรียบง่าย สงบ และงดงามอย่างที่สุด

การได้เดินทางไปยังอุทยานเหล่านี้ไม่ใช่แค่การพักผ่อนหรือถ่ายรูป แต่คือการได้เชื่อมโยงตัวเราเข้ากับธรรมชาติอีกครั้ง บางครั้งโลกที่เราคุ้นเคยอาจหมุนเร็วเกินไป การได้ชะลอฝีเท้า และฟังเสียงของต้นไม้ เสียงของหิน เสียงของแม่น้ำ อาจทำให้เรารู้จัก “ความสุขที่ไม่ต้องอธิบาย” ได้ลึกซึ้งกว่าเคย

หากคุณมีโอกาสเดินทางไปอเมริกา อย่าลืมเก็บ 5 อุทยานนี้ไว้ในลิสต์ของคุณ เพราะความประทับใจที่คุณจะได้รับมันจะติดอยู่ในใจไปตลอดชีวิต

สมรสเท่าเทียมในอเมริกา: สิทธิที่เท่าเทียม และทางเลือกใหม่ “แต่งงานออนไลน์” จากรัฐยูทาห์

ในอดีต การแต่งงานระหว่างคู่รักเพศเดียวกันเคยเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมอเมริกันมายาวนาน จนกระทั่งวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาได้มีคำตัดสินในคดี Obergefell v. Hodges ว่า“การไม่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสมรส เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ” นับแต่นั้นเป็นต้นมา การสมรสเท่าเทียม (same-sex marriage) ได้รับการยอมรับในทั้ง 50 รัฐของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ

สิทธิการสมรสของทุกคู่รัก

วันนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน รักใคร หรืออยู่ที่รัฐใดในอเมริกา คุณมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการ:

  • ขอใบอนุญาตสมรส (Marriage License)
  • จัดพิธีแต่งงานตามศาสนา หรือแบบพลเรือน
  • ได้รับสิทธิตามกฎหมาย เช่น การลดหย่อนภาษี สิทธิประกันสุขภาพ การรับบุตรบุญธรรม ฯลฯ

แม้ในบางรัฐอาจเคยต่อต้านมาก่อน แต่คำตัดสินของศาลสูงสุดได้ยืนยันว่า ความรักไม่ควรถูกจำกัดด้วยเพศ

แต่งงานออนไลน์จากรัฐยูทาห์: ทางเลือกใหม่ของคนรักกัน

สิ่งที่น่าทึ่งคือ ในยุคดิจิทัลนี้ คุณสามารถแต่งงานออนไลน์ได้อย่างถูกกฎหมายจากรัฐยูทาห์ (Utah) แม้ตัวคุณจะไม่ได้อาศัยอยู่ในอเมริกาก็ตาม

จุดเด่นของการแต่งงานออนไลน์จากยูทาห์:

  • ไม่ต้องเดินทางไปอเมริกา
  • รองรับคู่รักเพศเดียวกันและต่างเพศ
  • การแต่งงานได้รับการรับรองตามกฎหมายสหรัฐฯ
  • ใช้เพียงพาสปอร์ตและการยืนยันตัวตนผ่านวิดีโอคอล
  • ใช้บริการผู้ประกอบพิธี (officiant) ที่ได้รับใบอนุญาตของรัฐยูทาห์

หลังแต่งงาน คุณจะได้รับ Marriage Certificate แบบถูกกฎหมาย ซึ่งสามารถนำไปใช้กับการยื่นเอกสารด้านวีซ่า การเปลี่ยนนามสกุล หรือใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้ ขึ้นอยู่กับการยอมรับของท้องถิ่นนั้น

สมรสไร้พรมแดน: ความรักที่ไม่ต้องรอเวลา

การสมรสเท่าเทียมในอเมริกา ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสะท้อนว่า “ความรักไม่ควรถูกจำกัดด้วยเพศ เชื้อชาติ หรือพรมแดน” วันนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลก ก็สามารถเฉลิมฉลองความรักและคำสัญญาของคุณกับคนที่คุณรักได้อย่างถูกกฎหมาย

สไตล์อเมริกันแท้ ห้ามพลาด Fast Food!

เมื่อพูดถึง “ฟาสต์ฟู้ด” ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคน คงหนีไม่พ้นแฮมเบอร์เกอร์ฉ่ำ ๆ ชีสเยิ้ม ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน หรือเฟรนช์ฟรายส์ร้อน ๆ ที่เสิร์ฟมาในถุงกระดาษสีสดใส และแน่นอน…อเมริกาคือแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมฟาสต์ฟู้ดที่โด่งดังไปทั่วโลก! ตั้งแต่ร้านริมทางในยุค 40s จนกลายมาเป็นเชนระดับโลกในปัจจุบัน ฟาสต์ฟู้ดไม่ได้เป็นแค่อาหาร แต่คือหนึ่งในไอคอนที่สะท้อนวิถีชีวิตแบบอเมริกันอย่างชัดเจน ทั้งความสะดวก รวดเร็ว รสชาติที่คุ้นเคย และบรรยากาศที่เป็นกันเอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมฟาสต์ฟู้ดถึงครองใจผู้คนทุกเพศทุกวัยจากฝั่งตะวันตกสู่ทั่วโลก

Wendy’s
ก่อตั้งปี: 1969

Wendy’s คือหนึ่งในเชนฟาสต์ฟู้ดชื่อดังจากอเมริกาที่ขึ้นชื่อเรื่องเบอร์เกอร์เนื้อวัวสดไม่แช่แข็ง และขนมปังอบใหม่ทุกวัน จุดเด่นอยู่ที่แฮมเบอร์เกอร์ทรงสี่เหลี่ยมไม่เหมือนใคร พร้อมเมนูเด็ดอย่าง Dave’s Single และ Frosty ไอศกรีมเนื้อนุ่ม บรรยากาศร้านเน้นความอบอุ่นและเป็นกันเอง เหมาะกับทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อน Wendy’s มีสาขากระจายอยู่ทั่วสหรัฐฯ และหลายประเทศทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สะท้อนวัฒนธรรมฟาสต์ฟู้ดอเมริกันได้อย่างชัดเจน

Subway
ก่อตั้งปี: 1965

Subway เป็นเชนแซนด์วิชชื่อดังจากอเมริกาที่ให้ลูกค้าเลือกส่วนผสมได้เองตามใจ ตั้งแต่ขนมปัง ชีส ผัก ไปจนถึงซอสต่าง ๆ จุดขายคือความสดใหม่ของวัตถุดิบและตัวเลือกที่หลากหลาย เหมาะสำหรับคนที่มองหาอาหารจานด่วนแต่ยังอยากสุขภาพดี เมนูยอดนิยม เช่น Italian B.M.T. และ Tuna Sandwich ที่คนอเมริกันคุ้นเคยกันดี
ร้านตกแต่งเรียบง่าย มีเคาน์เตอร์ให้เลือกส่วนผสมแบบเห็นชัด ๆ ทุกขั้นตอน Subway ขยายสาขาไปทั่วโลก กลายเป็นแบรนด์แซนด์วิชที่หลายคนไว้วางใจเมื่ออยากกินอะไรเร็ว อร่อย และเบา ๆ

Five Guys
ก่อตั้งปี: 1986

Five Guys เป็นร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันแท้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเรียบง่ายแต่คุณภาพจัดเต็ม เบอร์เกอร์และฮอตดอกทำสดใหม่ทุกออเดอร์ ใช้เนื้อวัวเกรดดีแบบไม่แช่แข็ง และมันฝรั่งสดหั่นมือทอดทุกวัน ลูกค้าสามารถเลือกท็อปปิ้งได้มากกว่า 15 อย่างโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ร้านตกแต่งแนวเรโทรสบาย ๆ พร้อมกลิ่นหอมของเบอร์เกอร์และถั่วลิสงคั่วที่แจกฟรีให้กินเพลิน ๆ Five Guys กลายเป็นขวัญใจของคนรักเบอร์เกอร์ทั่วอเมริกา และขยายไปหลายประเทศด้วยความอร่อยแบบบ้าน ๆ ที่ไม่ปรุงแต่งเกินจำเป็น

In-N-Out Burger
ก่อตั้งปี: 1948

In-N-Out Burger เป็นเชนเบอร์เกอร์ขวัญใจชาวแคลิฟอร์เนีย ที่โดดเด่นด้วยเมนูเรียบง่ายแต่วัตถุดิบคุณภาพสูง เบอร์เกอร์ทำสดใหม่ทุกชิ้น ไม่มีการใช้ไมโครเวฟหรือตู้แช่แข็ง เนื้อวัวบดสด ขนมปังอบใหม่ และผักสดกรอบ เมนูเด็ดต้องลองคือ Double-Double และ Animal Style ที่ซ่อนอยู่ใน “Secret Menu” อันโด่งดัง บรรยากาศร้านให้อารมณ์ย้อนยุค พร้อมพนักงานที่ขึ้นชื่อเรื่องการบริการที่เป็นมิตร แม้จะขยายตัวอย่างช้า ๆ แต่ In-N-Out ก็ยังรักษาคุณภาพและความคลาสสิกที่แฟน ๆ เทใจให้ไม่เปลี่ยน

Taco Bell
ก่อตั้งปี: 1962

Taco Bell เป็นเชนฟาสต์ฟู้ดสไตล์เม็กซิกันจากแคลิฟอร์เนียที่สร้างชื่อด้วยเมนูอย่างทาโก้ เบอร์ริโต และเคซาดิญ่า
จุดเด่นคือรสชาติจัดจ้าน ราคาย่อมเยา และตัวเลือกเมนูที่ปรับแต่งได้ตามใจชอบ เมนูยอดฮิต ได้แก่ Crunchwrap Supreme, Doritos Locos Tacos และ Chalupa Supreme บรรยากาศร้านเน้นความสนุกสนาน ทันสมัย เหมาะกับกลุ่มเพื่อนหรือสายกินดึก Taco Bell กลายเป็นตัวแทนของอาหารเม็กซิกันจานด่วนที่เข้าถึงง่าย และมีสาขาอยู่ทั่วอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก

Chick-fil-A
ก่อตั้งปี: 1946

Chick-fil-A คือเชนฟาสต์ฟู้ดที่เชี่ยวชาญเรื่องไก่ทอดและแซนด์วิชไก่คุณภาพสูง เมนูเด่นคือ Chicken Sandwich ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่ขนมปังนุ่ม ๆ และซอสสูตรลับเฉพาะ ร้านเน้นบริการแบบเป็นมิตรและอบอุ่นจนขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ลูกค้าประทับใจมากที่สุดในอเมริกา เปิดเฉพาะวันจันทร์ถึงเสาร์ และหยุดทุกวันอาทิตย์ตามหลักความเชื่อของผู้ก่อตั้ง Chick-fil-A ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งในหมู่นักเรียน คนทำงาน และครอบครัว ที่มองหาอาหารอร่อย บริการดี และคุณภาพคุ้มราคา

Popeyes
ก่อตั้งปี: 1972

Popeyes เป็นเชนฟาสต์ฟู้ดไก่ทอดสไตล์ลุยเซียนาที่โด่งดังด้วยรสชาติเผ็ดจัดจ้านไม่เหมือนใคร เมนูไก่ทอดของที่นี่ใช้เครื่องเทศสูตรพิเศษแบบ Cajun รสเข้มข้น กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่บิสกิตเนยหอม ๆ ไอเท็มยอดฮิตคือ Chicken Sandwich ที่เคยสร้างกระแสฮือฮาจนคิวยาวทั่วอเมริกา ร้านตกแต่งสไตล์อบอุ่น แฝงกลิ่นอายวัฒนธรรมทางใต้ของสหรัฐฯ Popeyes เป็นตัวแทนของไก่ทอดอเมริกันที่ใส่ลูกเล่นจากวัฒนธรรมท้องถิ่น และครองใจคนรักไก่ทอดทั่วโลก

McDonald’s
ก่อตั้งปี: 1940

McDonald’s คือราชาแห่งวงการฟาสต์ฟู้ด ที่เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ ในแคลิฟอร์เนียและเติบโตเป็นเชนระดับโลก
ขึ้นชื่อเรื่องแฮมเบอร์เกอร์อย่าง Big Mac, เฟรนช์ฟรายส์กรอบทอง และไอศกรีมโคนสุดคลาสสิก ด้วยบริการรวดเร็ว ราคาเข้าถึงง่าย และเมนูที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย ทำให้แมคโดนัลด์กลายเป็นชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงเมื่อพูดถึงฟาสต์ฟู้ด ร้านมีบรรยากาศเป็นกันเอง เหมาะกับทั้งครอบครัว เด็ก ๆ วัยรุ่น และคนทำงาน McDonald’s ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอเมริกัน แต่ยังเป็นภาพจำของความสะดวก อร่อย และคุ้นเคยทั่วโลก

Nathan’s Famous
ก่อตั้งปี: 1916

Nathan’s Famous เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ ริมชายหาด Coney Island ในนิวยอร์ก และกลายเป็นไอคอนแห่งวงการฮอตดอก ขึ้นชื่อเรื่องฮอตดอกสูตรต้นตำรับที่มีรสชาติกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ เสิร์ฟคู่กับเฟรนช์ฟรายส์กรอบสไตล์อเมริกัน ร้านยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกินฮอตดอกระดับโลกทุกวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งดึงดูดผู้ชมจากทั่วประเทศ
บรรยากาศร้านชวนให้นึกถึงอเมริกาในยุคคลาสสิก เต็มไปด้วยกลิ่นอายความทรงจำริมทะเล Nathan’s Famous ไม่ได้ขายแค่ฮอตดอก แต่ส่งต่อรสชาติประวัติศาสตร์อเมริกันกว่า 100 ปีอย่างภาคภูมิ

Panda Express
ก่อตั้งปี: 1983

Panda Express เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดสไตล์จีน-อเมริกันที่เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ ในห้างแคลิฟอร์เนีย และขยายสาขาไปทั่วสหรัฐฯ เมนูเด่นคือ Orange Chicken ไก่ทอดราดซอสส้มรสหวานอมเปรี้ยว และ Beijing Beef ที่รสเข้มข้นถูกปากคนอเมริกัน ลูกค้าสามารถเลือก “2-3 Entrees” พร้อมข้าวหรือ Chow Mein ได้แบบจานด่วนที่อิ่มคุ้ม
ร้านตกแต่งทันสมัยผสมกลิ่นอายวัฒนธรรมจีน เหมาะกับทั้งสายกินไวและครอบครัว Panda Express คือสะพานเชื่อมระหว่างอาหารเอเชียกับฟาสต์ฟู้ดอเมริกันที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

Wingstop
ก่อตั้งปี: 1994

Wingstop คือร้านฟาสต์ฟู้ดที่เชี่ยวชาญเรื่องปีกไก่ทอดสไตล์อเมริกันโดยเฉพาะ เริ่มต้นจากเท็กซัสและเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วสหรัฐฯ จุดเด่นอยู่ที่การเลือกซอสได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัดอย่าง Atomic หรือหอมมันแบบ Garlic Parmesan เมนูเสิร์ฟแบบง่าย ๆ แต่ได้ใจ ทั้งปีกไก่แบบกระดูกและแบบไม่มีกระดูก พร้อมเครื่องเคียงอย่างเฟรนช์ฟรายส์ปรุงรสสูตรเฉพาะ บรรยากาศร้านสไตล์สปอร์ตบาร์ เหมาะกับการแวะกินเล่น ๆ หรือดูเกมไปด้วยกับกลุ่มเพื่อน
Wingstop เป็นขวัญใจคนรักไก่ทอดที่อยากได้รสชาติจริงจังและความกรอบแบบจัดเต็มในทุกคำ

Shake Shack
ก่อตั้งปี: 2004

Shake Shack เริ่มต้นจากรถเข็นขายเบอร์เกอร์ในนิวยอร์กซิตี้ และกลายเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์พรีเมียมที่มาแรงที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา จุดเด่นคือเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวัวคุณภาพสูง ไม่มีฮอร์โมน ปรุงสดใหม่ทุกชิ้น เสิร์ฟคู่ขนมปังมันฝรั่งอบหอม ๆ เมนูยอดฮิต ได้แก่ ShackBurger, Chick’n Shack และเครื่องดื่มเย็น ๆ อย่างมิลค์เชคสูตรเข้มข้น
บรรยากาศร้านทันสมัย เรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง เหมาะกับทั้งสายชิลและคนรักอาหารคุณภาพ
Shake Shack กลายเป็นตัวแทนของฟาสต์ฟู้ดยุคใหม่ ที่เน้นคุณภาพ ความสดใหม่ และประสบการณ์การกินที่ดีกว่าเดิม

Papa John’s
ก่อตั้งปี: 1984

Papa John’s เป็นเชนพิซซ่าชื่อดังจากรัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา ที่เน้นใช้วัตถุดิบสดใหม่และแป้งพิซซ่าทำสดทุกวัน
จุดขายของร้านคือสโลแกน “Better Ingredients. Better Pizza.” พร้อมซอสพิซซ่าสูตรพิเศษและชีสคุณภาพเยี่ยม
เมนูยอดนิยม ได้แก่ The Works, Pepperoni และพิซซ่าขอบชีสที่หอมละมุนทุกคำ ทุกกล่องพิซซ่าของ Papa John’s เสิร์ฟพร้อมซอสกระเทียมและพริกดองเพิ่มรสจัดจ้านแบบเฉพาะตัว บรรยากาศร้านอบอุ่น เป็นกันเอง และเหมาะสำหรับครอบครัวหรือปาร์ตี้เล็ก ๆ กับเพื่อนฝูงที่อยากแชร์พิซซ่าแสนอร่อยด้วยกัน

Domino’s Pizza
ก่อตั้งปี: 1960

Domino’s Pizza เป็นหนึ่งในเชนพิซซ่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นที่มิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยจุดขายเรื่องการจัดส่งที่รวดเร็ว นอกจากพิซซ่าหลากหน้าที่มีทั้งแบบแป้งบางกรอบและแป้งหนานุ่ม ยังมีเมนูเสริมอย่างปีกไก่ พาสต้า และขนมปังอบชีส Domino’s โดดเด่นเรื่องระบบสั่งอาหารออนไลน์และแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย ติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ เมนูยอดฮิต ได้แก่ Pepperoni, Extravaganzza และพิซซ่าชีสเยิ้มแบบ American-style
ด้วยบริการที่รวดเร็ว ราคาเข้าถึงง่าย และรสชาติคงเส้นคงวา Domino’s จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับสายพิซซ่าทั่วโลก

KFC (Kentucky Fried Chicken)
ก่อตั้งปี: 1930

KFC คือเชนไก่ทอดระดับโลกจากรัฐเคนทักกี โดยผู้พันแซนเดอร์สผู้คิดค้นสูตรลับ 11 สมุนไพรและเครื่องเทศที่กลายเป็นตำนาน เมนูหลักคือไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน กลิ่นหอมเฉพาะตัว เสิร์ฟคู่กับบิสกิต มันบด และน้ำเกรวี่
นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่น ๆ อย่างแซนด์วิชไก่ ทาร์ตไข่ และไก่ไม่มีกระดูกที่ถูกใจคนทุกวัย บรรยากาศร้านผสมผสานความคลาสสิกกับความทันสมัย ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน KFC ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่คือแบรนด์ที่นำเสนอรสชาติแบบอเมริกันแท้ ๆ ที่ครองใจคนทั่วโลกมานานเกือบศตวรรษ

Burger King
ก่อตั้งปี: 1954

Burger King เป็นเชนเบอร์เกอร์รายใหญ่จากฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อว่า “The Home of the Whopper”
เมนูเด่นคือ Whopper เบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ย่างด้วยเปลวไฟจริง ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ต่างจากเจ้าอื่น
ลูกค้าสามารถปรับแต่งเบอร์เกอร์ได้ตามชอบใจ พร้อมเมนูหลากหลาย ทั้งนักเก็ต ไก่ทอด และไอศกรีม
ร้านตกแต่งทันสมัยแต่ยังคงความเป็นกันเอง เหมาะกับทั้งคนรีบกินและคนที่อยากนั่งชิล
Burger King เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่อยากได้เบอร์เกอร์สไตล์เข้ม เต็มคำ ในราคาที่จับต้องได้

ในโลกของฟาสต์ฟู้ดที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย แต่ละแบรนด์ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ผู้คนในยุคเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์ฉ่ำ ๆ แซนด์วิชเพื่อสุขภาพ พิซซ่าชีสเยิ้ม หรือไก่ทอดรสจัดจ้าน ทุกคำที่ได้ลิ้มลองไม่เพียงเติมเต็มความหิว แต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมการกินของอเมริกันที่แพร่หลายไปทั่วโลก ฟาสต์ฟู้ดจึงไม่ใช่แค่อาหารจานด่วน แต่คือประสบการณ์ของรสชาติ ความสะดวก และไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

ครั้งหน้า ถ้าแวะไปอเมริกา อย่าลืมลองให้ครบทุกเจ้า แล้วจะรู้ว่า…ฟาสต์ฟู้ดก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน

มารู้จักวันแห่งความทรงจำ (Memorial Day) วันสำคัญของอเมริกา!

จุดเริ่มต้นของ Memorial Day

ต้นกำเนิดของ Memorial Day ย้อนกลับไปยังช่วงหลัง สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War) ซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1865 สงครามครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสงครามใด ๆ ที่สหรัฐเคยประสบมาในช่วงเวลานั้น และได้ก่อให้เกิดความจำเป็นในการจัดตั้งสุสานทหารแห่งใหม่หลายแห่งทั่วประเทศ

ในปี ค.ศ. 1868 นายพล John A. Logan ผู้นำขององค์กรทหารผ่านศึกชื่อว่า Grand Army of the Republic ได้ประกาศให้วันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “Decoration Day” เพื่อให้ประชาชนนำดอกไม้ไปประดับหลุมศพของทหารผู้ล่วงลับ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายเหนือหรือใต้ ถือเป็นการเริ่มต้นของการรำลึกอย่างเป็นทางการในระดับชาติ

คำว่า “Decoration Day” ถูกใช้แพร่หลายในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งหลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการขยายขอบเขตของการรำลึกจากทหารสงครามกลางเมืองไปถึงทหารทุกคนที่เสียชีวิตในการรับใช้ชาติในสงครามต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นชื่อ “Memorial Day” ก็เริ่มถูกใช้แทนคำเดิมอย่างเป็นทางการมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้จะมีการรำลึกกันอย่างกว้างขวางมาแต่โบราณ Memorial Day เพิ่งได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดของรัฐบาลกลางอย่างเป็นทางการในปี 1971 โดยผ่านกฎหมายที่เรียกว่า Uniform Monday Holiday Act ซึ่งกำหนดให้วันหยุดนี้ตรงกับวันจันทร์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมในแต่ละปี เพื่อให้ประชาชนมีวันหยุดยาวติดต่อกันสามวัน เป็นการส่งเสริมให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในวงกว้าง

แม้ Memorial Day จะยังคงเป็นวันที่เต็มไปด้วยความหมายทางประวัติศาสตร์และการรำลึก แต่ในปัจจุบัน มันก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นฤดูร้อนอย่างไม่เป็นทางการในสหรัฐอเมริกา ผู้คนจำนวนมากใช้เวลาวันหยุดนี้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว รวมกลุ่มกับครอบครัว หรือจัดกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ปิ้งบาร์บีคิว ขบวนพาเหรด และชมดอกไม้ไฟ

แต่สำหรับครอบครัวทหารและประชาชนผู้ยังคงเคารพในจิตวิญญาณของวันแห่งการรำลึก Memorial Day คือวันที่เต็มไปด้วยความทรงจำ การวางดอกไม้ที่หลุมศพ การลดธงลงครึ่งเสา และการยืนนิ่งสงบเป็นเวลา 1 นาทีในเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อร่วมกันน้อมรำลึกถึงผู้ที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ

กิจกรรมรำลึกและพิธีการทั่วประเทศ

  • ในเขต Bay Area ของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีการจัดกิจกรรมหลากหลาย เช่น การปักธงที่สุสาน Presidio National Cemetery ในซานฟรานซิสโก และพิธีรำลึกที่สุสาน Benicia Arsenal Post Cemetery และ Mountain View Cemetery ในโอ๊คแลนด์
  • ใน Nassau County รัฐนิวยอร์ก จะมีการเปิดเสียงสัญญาณเตือนภัยจากสถานีดับเพลิงทั้ง 71 แห่งในเวลาเที่ยงวันและ 6 โมงเย็น เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหยุดกิจกรรมและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในการรับใช้ชาติ

สิทธิผู้โดยสารเมื่อเครื่องดีเลย์ หรือเที่ยวบินล่าช้า! รู้ไว้ก่อนเดินทาง

หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินล่าช้า (เครื่องดีเลย์) หรือถูกยกเลิกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ซึ่งทำให้แผนเที่ยวต้องสะดุดและหมดสนุกไปแบบไม่ทันตั้งตัว แต่รู้หรือไม่ว่า…คุณมี สิทธิ์เรียกร้องค่าชดเชยจากสายการบิน ได้!

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ได้ประกาศข้อบังคับฉบับใหม่ “ข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือน ฉบับที่ 101” ว่าด้วย มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารเที่ยวบินแบบประจำ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

🕑 กรณีเที่ยวบินล่าช้า (ระหว่างประเทศ) แล้วผู้โดยสารจะได้อะไรเมื่อเที่ยวบินล่าช้า?

ล่าช้าเกิน 2 ชั่วโมง
ผู้โดยสารมีสิทธิได้รับ

  • บริการอาหารและเครื่องดื่ม หรือตั๋วแลกรับอาหารและเครื่องดื่ม
  • การอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น โทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ล่าช้าเกิน 5 ชั่วโมง
นอกจากสิทธิข้างต้นแล้ว ผู้โดยสารจะได้รับ

  • ที่พักพร้อมบริการรับ-ส่ง หากจำเป็นต้องพักค้างคืน
  • หากผู้โดยสารไม่ประสงค์จะเดินทางต่อ สายการบินต้องเสนอทางเลือกในการคืนเงินค่าตั๋ว หรือเสนอทางเลือกอื่นที่เทียบเท่าทันที
  • ค่าชดเชยเป็นเงินสด 1,500 บาท หรือทางเลือกอื่น เช่น บัตรกำนัล วงเงินเดินทาง หรือไมล์สะสม ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าค่าชดเชยเงินสด โดยต้องจัดให้ภายใน 14 วัน

ล่าช้าเกิน 10 ชั่วโมง
ผู้โดยสารจะได้รับสิทธิทั้งหมดตามกรณีล่าช้า 5 ชั่วโมง และมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพิ่มเติมตามระยะทางของเที่ยวบิน ดังนี้

  • ระยะทางไม่เกิน 1,500 กิโลเมตร: ค่าชดเชย 2,000 บาท
  • ระยะทางระหว่าง 1,500–3,500 กิโลเมตร: ค่าชดเชย 3,500 บาท
  • ระยะทางเกิน 3,500 กิโลเมตร: ค่าชดเชย 4,500 บาท

โดยค่าชดเชยสามารถเลือกเป็นเงินสด หรือสิ่งทดแทนที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเงินสด เช่น วงเงินเดินทาง บัตรกำนัล หรือไมล์สะสม และต้องได้รับภายใน 14 วัน

กรณีเที่ยวบินล่าช้า “ขณะอยู่บนเครื่องบิน” (Tarmac Delay)

ในกรณีที่ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินแล้ว แต่เครื่องยังไม่สามารถออกเดินทางได้ตามกำหนด สายการบินจะต้องดำเนินมาตรการดูแลผู้โดยสารอย่างเหมาะสม ได้แก่

  • การควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศภายในห้องโดยสาร
  • การจัดหาห้องน้ำที่สะอาดเพียงพอ
  • การเข้าถึงบริการทางการแพทย์หากมีความจำเป็น

หากการล่าช้าขณะอยู่บนเครื่องบินกินเวลานานเกิน 3 ชั่วโมง และยังไม่สามารถกำหนดเวลาการออกเดินทางได้อย่างแน่ชัด สายการบินจะต้องอนุญาตให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน เว้นแต่มีเหตุผลด้านความปลอดภัย หรือปัญหาด้านการจราจรทางอากาศ

กรณีเที่ยวบิน “ถูกยกเลิก” หรือ “ปฏิเสธการขนส่ง” (เที่ยวบินระหว่างประเทศ)

หากสายการบินยกเลิกเที่ยวบิน หรือปฏิเสธไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ผู้โดยสารมีสิทธิได้รับการดูแลและชดเชยเช่นเดียวกับกรณีเที่ยวบินล่าช้าเกิน 10 ชั่วโมง ได้แก่

  • บริการอาหารและเครื่องดื่ม หรือตั๋วแลกรับ
  • การอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสาร
  • ที่พักและบริการรับ-ส่งหากต้องพักค้างคืน
  • การเลือกเปลี่ยนเที่ยวบิน เดินทางทางเลือกอื่น หรือขอคืนเงินค่าตั๋วโดยสาร
  • ค่าชดเชยภายใน 14 วัน โดยพิจารณาตามระยะทางของเที่ยวบิน:
    • ไม่เกิน 1,500 กิโลเมตร: 2,000 บาท
    • ระหว่าง 1,500–3,500 กิโลเมตร: 3,500 บาท
    • เกิน 3,500 กิโลเมตร: 4,500 บาท

ยกเว้นบางกรณี เช่น มีเหตุยกเลิกอันเกิดจากเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยธรรมชาติ เหตุฉุกเฉิน ฯลฯ / สายการบินแจ้งการยกเลิกล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน / หรือแจ้งภายในระยะเวลาน้อยกว่า 7 วัน แต่สามารถจัดหาเที่ยวบินอื่นที่ผู้โดยสารสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้ก่อนหรือช้ากว่าเที่ยวบินเดิมไม่เกิน 3 ชั่วโมง

ข้อบังคับฉบับใหม่นี้เป็นการเพิ่มมาตรการปกป้องสิทธิของผู้โดยสารให้ชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้โดยสารไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การล่าช้าหรือการยกเลิกเที่ยวบินโดยไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า ผู้โดยสารจึงควรศึกษาและรู้เท่าทันสิทธิของตนเอง เพื่อสามารถเรียกร้องการดูแลและชดเชยได้อย่างเหมาะสม

หากสายการบินไม่ดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ผู้โดยสารสามารถร้องเรียนต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้โดยตรง

ประเภทพาสปอร์ตของประเทศไทย: ความรู้พื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเดินทางต่างประเทศ

หนังสือเดินทางหรือ “พาสปอร์ต” คือเอกสารสำคัญที่ออกโดยรัฐบาล เพื่อแสดงตัวตนและสัญชาติของผู้ถือในการเดินทางไปยังต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย พาสปอร์ตที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศมีอยู่หลากหลายประเภท แต่ละประเภทถูกกำหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์การใช้งาน สถานะของผู้ถือ และภารกิจที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

1. พาสปอร์ตบุคคลธรรมดา (Ordinary Passport)
เป็นพาสปอร์ตที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักและใช้งานกันทั่วไป โดยออกให้แก่ประชาชนไทยที่มีสัญชาติไทย เพื่อใช้ในการเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ศึกษาต่อ เยี่ยมญาติ หรือทำงาน พาสปอร์ตประเภทนี้มีหน้าปกสีเลือดหมู (Maroon) และมีอายุการใช้งาน 5 ปีหรือ 10 ปี ขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้ยื่นขอ

ผู้ขอจะต้องมีบัตรประชาชนไทยและยื่นคำขอที่สำนักงานหนังสือเดินทางทั่วประเทศ โดยสามารถยื่นคำขอล่วงหน้าได้ และสามารถขอรับพาสปอร์ตแบบด่วนพิเศษในบางสาขาได้อีกด้วย

2. พาสปอร์ตทูต (Diplomatic Passport)
มีหน้าปกสีแดงสด (Bright Red) ออกให้แก่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ นักการทูต หรือบุคคลในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับกิจการทูต ซึ่งได้รับมอบหมายให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ พาสปอร์ตประเภทนี้ได้รับสิทธิพิเศษตามอนุสัญญาทางการทูต เช่น ความคุ้มกันทางกฎหมาย สิทธิผ่านแดน และการยกเว้นภาษีในบางกรณี

บุคคลทั่วไปไม่สามารถยื่นขอพาสปอร์ตประเภทนี้ได้ การออกต้องได้รับอนุมัติจากระดับสูง และจำกัดการใช้งานเฉพาะภารกิจทางการทูตเท่านั้น

3. พาสปอร์ตข้าราชการ (Official Passport)
ออกให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ปฏิบัติภารกิจแทนรัฐบาลในการเดินทางไปต่างประเทศตามหน้าที่ราชการ พาสปอร์ตประเภทนี้มีหน้าปกสีน้ำเงินกรมท่า (Dark Blue) และใช้สำหรับการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับภารกิจราชการเท่านั้น ไม่สามารถใช้ในวัตถุประสงค์ส่วนตัวหรือการท่องเที่ยวได้

ผู้ที่จะขอพาสปอร์ตประเภทนี้จะต้องได้รับหนังสืออนุมัติจากหน่วยงานราชการต้นสังกัด และการขอมีขั้นตอนเฉพาะเจาะจงกว่าพาสปอร์ตทั่วไป

4. พาสปอร์ตฉุกเฉิน (Emergency Passport หรือ Temporary Passport)
พาสปอร์ตฉุกเฉินเป็นหนังสือเดินทางชั่วคราวที่ออกให้ในกรณีที่คนไทยในต่างประเทศทำพาสปอร์ตสูญหาย ถูกขโมย หรือหมดอายุในช่วงฉุกเฉิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ หน้าปกมีสีเขียวมะกอก (Olive Green) และมีอายุการใช้งานสั้นมาก มักไม่เกิน 1 ปี

พาสปอร์ตฉุกเฉินสามารถออกได้โดยสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ ซึ่งจะตรวจสอบสถานะบุคคลและวัตถุประสงค์ในการเดินทางกลับก่อนดำเนินการออกหนังสือเดินทางชั่วคราว

การเข้าใจประเภทของพาสปอร์ตไทยไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาในการเดินทางที่อาจเกิดจากการใช้พาสปอร์ตผิดประเภทอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักท่องเที่ยว นักเรียน ข้าราชการ หรือบุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับภารกิจระดับประเทศ การรู้จักประเภทพาสปอร์ตที่ตรงกับสถานะของตนเองถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยุคที่การเดินทางระหว่างประเทศกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ดิสนีย์เตรียมเปิดแลนด์ใหม่ที่อาบูดาบี! พาเช็กอินดิสนีย์แลนด์ในอเมริกามีที่ไหนบ้าง?

ข่าวดีสำหรับแฟนดิสนีย์ทั่วโลก! ล่าสุด Walt Disney Company ประกาศสร้างสวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งใหม่ขึ้นที่ อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บนเกาะยาส (Yas Island) ซึ่งถือเป็นแลนด์ดิสนีย์แห่งแรกในตะวันออกกลาง โดยจะรวมเทคโนโลยีทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นของภูมิภาค ทำให้หลายคนตั้งตารอว่าแลนด์ใหม่นี้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

ส่วนใครที่อยากสัมผัสมนตร์วิเศษของดิสนีย์แบบไม่ต้องรอ ที่สหรัฐอเมริกาก็มีสวนสนุกดิสนีย์ให้เลือกถึง 2 แห่งใหญ่ ๆ เลยทีเดียว:

1. ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Disneyland Resort) – ตั้งอยู่ที่เมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1955 โดยวอลต์ ดิสนีย์เอง สวนสนุกแห่งนี้ประกอบด้วยสองสวนสนุกหลัก:

 • ดิสนีย์แลนด์ พาร์ค (Disneyland Park) – สวนสนุกดั้งเดิมที่มีปราสาทเจ้าหญิงนิทราและโซนต่าง ๆ เช่น Adventureland, Fantasyland และ Tomorrowland

 • ดิสนีย์ แคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ พาร์ค (Disney California Adventure Park) – สวนสนุกที่มีธีมเกี่ยวกับภาพยนตร์ของดิสนีย์และพิกซาร์ เช่น Cars Land และ Avengers Campus

2. วอลต์ ดิสนีย์ เวิลด์ รีสอร์ท (Walt Disney World Resort) – ตั้งอยู่ที่เมืองเลคบูเอนาวิสตา รัฐฟลอริดา เปิดให้บริการในปี 1971 เป็นรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดของดิสนีย์ ประกอบด้วยสวนสนุกหลัก 4 แห่ง:

 • เมจิก คิงดอม (Magic Kingdom) – มีปราสาทซินเดอเรลลาและโซนต่าง ๆ เช่น Main Street, U.S.A. และ Frontierland

 • อีปคอต (EPCOT) – เน้นเทคโนโลยีและวัฒนธรรมโลก

 • ดิสนีย์ ฮอลลีวูด สตูดิโอส์ (Disney’s Hollywood Studios) – เน้นภาพยนตร์และการแสดง

 • ดิสนีย์ แอนิมอล คิงดอม (Disney’s Animal Kingdom) – เน้นสัตว์และธรรมชาติ 

การเปิดตัวสวนสนุกแห่งใหม่ในอาบูดาบีแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของดิสนีย์ในการขยายประสบการณ์ความบันเทิงไปทั่วโลก และสำหรับผู้ที่สนใจเยี่ยมชมสวนสนุกดิสนีย์ในสหรัฐอเมริกา ทั้งสองแห่งนี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่ไม่ควรพลาด! น้อง ๆ คนไหนที่มีแพลนชเที่ยวหลังจบงานที่อเมริกาแล้วควรแวะดิสนีย์ด้วยประการทั้งปวง