น้องๆ หลายคนพอถึงเวลาที่เราต้องบินคงจะตื่นเต้นและเป็นกังวลว่าการทำงานที่อเมริกาจะเป็นอย่างไร แล้วเราควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้เราปรับตัวกับที่นั่นให้ได้ วันนี้พี่ๆ ก็จะมาบอกถึงเรื่องที่น้องๆ ควรรู้ก่อนที่จะไปอเมริกา
เวลาคือเรื่องสำคัญ: ที่อเมริกา เราไม่จำเป็นต้องมาก่อนเวลาก็ได้ แต่เราต้องมาให้ตรงเวลา ถ้างานเข้า 9 โมง เราก็ต้องมาถึงที่ทำงานและเข้างาน 9 โมงแบบเป๊ะๆ
เรามีสิทธิของเรา : น้องๆ ทุกคนไปทำงานที่อเมริกาอย่างถูกกฎหมาย เพราะฉะนั้นทุกคนจึงมีสิทธิในตัวเอง นั่นคือสมุดเล่มขาวหรือ Wilberforce Pamphlet นั่นเอง เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ควรที่จะทำความเข้าใจกับสิทธิของตัวเองให้ดีๆ นะ
สุขภาพร่างกายต้องอดทน : การที่เราไป Work and Travel นั้นถึงจะมีคำว่า Travel แต่เวลาส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการทำงาน แล้วน้องๆ ไปในฐานะแรงงานของบ้านเขา พี่ๆ ก็อยากให้น้องๆ เตรียมร่างกายไปให้พร้อมก่อนที่จะไปลงสนาม
เตรียมใจไว้ให้ดี : การไปทำงานที่ต่างประเทศจะต้องมีหลายอย่างที่เราต้องปรับตัว เช่น ภาษา วัฒนธรรม สังคมใหม่ๆ และอีกหลายอย่าง แต่พี่ๆ เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนสามารถปรับตัวได้อย่างแน่นอน
และหากน้องๆ เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะไป Work and Travel แล้ว น้องๆ สามารถติดต่อพี่ๆ IEE ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เลย
ถ้าน้องไป Work and Travel ในตำแหน่ง Housekeeper น้องๆ จะได้ใช้ศัพท์เหล่านี้ในการทำงานอย่างแน่นอน
1.Bathtub (n.) อ่างอาบน้ำ
2.Bed Sheet (n.) ผ้าปูที่นอน
3.Blanket (n.) ผ้าห่ม
4.Pillowcase (n.) ปลอกหมอน
5.Body towel (n.) ผ้าขนหนู
6.Vacuum (n.) เครื่องดูดฝุ่น
7.Hairdryer (n.) ไดร์เป่าผม
8.Tissue Paper (n.) กระดาษทิชชู่
9.Rag (n.) ผ้าเช็ดทำความสะอาด
10.Air Conditioner (n.) เครื่องปรับอากาศ
พี่ๆ หวังว่าศัพท์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในตำแหน่ง Housekeeper ทุกคนนะ
น้องๆ คนไหนที่ตัดสินใจไม่ถูกว่าเราจะไป Work and Travel ในช่วงไหนดี ไปช่วง Spring อากาศจะหนาวเกินไปหรือเปล่า แล้วถ้าไป Summer อากาศจะร้อนเกินไปไหม วันนี้พี่ๆ ก็จะมาบอกและเปรียบเทียบกันว่า Spring กับ Summer แตกต่างกันอย่างไร
Spring Summer ช่วงเวลาที่ไป : มีนาคม-กรกฎาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย : 9-23 องศาเซลเซียส กิจกรรมที่นิยมทำกัน – ชมดอกไม้ – ไปเทศกาลดนตรี – เที่ยวอุทยานแห่งชาติ – เที่ยวในสถานที่ตากอากาศ – ท่องเที่ยวสวนสนุกในที่ต่างๆ ช่วงเวลาที่ไป : พฤษภาคม-กันยายน อุณหภูมิโดยเฉลี่ย : 20-34 องศาเซลเซียส กิจกรรมที่นิยมทำกัน – เที่ยวชายหาด – ไปเทศกาลอาหาร – ตั้งแคมป์ ทำ barbeque – นั่งเรือเล่น ชมเมือง – นั่งทานอาหารที่ร้าน outdoor
จะเห็นได้ว่าทั้งสองฤดูจะเป็นฤดูกาลที่เหมาะสมมากกับการไปเที่ยวในที่ต่างๆ แต่ก็จะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่แตกต่างกันไป ถ้าหากน้องๆ คนไหนตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปฤดูไหน ก็สามารถติดต่อพี่ๆ IEE ได้ผ่านช่องทาง LINE ได้เลย
4 คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ต้องระวังในการสอบสัมภาษณ์วีซ่า J1 เพราะถ้าไม่เตรียมตัวไปตอบคำถามเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้เสี่ยงไม่ผ่านสัมภาษณ์วีซ่าเลยก็ได้
Do you have any relatives in the United States? ให้ตอบไปตามความจริงเพราะถ้าไม่ตอบตามความจริง จะทำให้เสี่ยงไม่ผ่านการสัมภาษณ์ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ให้ตอบประมาณว่า “No, I don’t have any relatives in the United States”
What are you expected from work and travel หรือ Why do you want to join work and travel? ห้ามตอบเกี่ยวกับเรื่องเงิน , แฟน หรือการหางานหลังจากจบโครงการ ให้ตอบเกี่ยวกับการหาประสบการณ์, การหาเพื่อนใหม่ๆ, การฝึกภาษาหรือการหาอะไรใหม่ๆ
และสำหรับน้องที่เคยไป Work and Travel ก็อาจจะเจอคำถามเหล่านี้
Why did you choose this job for the second time? ห้ามตอบเกี่ยวกับแฟน, เงินหรือเรื่อง tips
Why did you choose this state again? ห้ามตอบเกี่ยวกับแฟน, เงินหรือเรื่อง tips
การไปต่างประเทศในแต่ละครั้ง นอกจากจะมีการแพลนปลายทางที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่น้องๆ ขาดไปไม่ได้คือการศึกษาเส้นทางระหว่างทางทั้งขาไปและขากลับ ที่อาจจะมีศัพท์เฉพาะและข้อกำหนดที่ต้องทำความเข้าใจ, การเผื่อเวลาขึ้นเครื่อง หรือไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดต่างๆ ในการจัดของเพื่อเดินทางไปยังประเทศปลายทาง เป็นต้น วันนี้พี่ๆ IEE จะมาแนะนำคร่าวๆ ว่าการที่จะจองตั๋วเครื่องบินไปที่ไปอเมริกานั้นต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1. ศึกษาเส้นทางการบินของตนเอง (ทั้งขาไปและขากลับ) แน่นอนว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยนั้นห่างกันเกินกว่าที่จะบินตรง (DIRECT FLIGHT) จึงต้องมีการต่อเครื่อง ซึ่งน้องๆ Work and Travel ที่จะต้องจองตั๋วไปอเมริกา จะต้องจองตั๋วทั้งขาไป และขากลับให้เรียบร้อย ซึ่งแนะนำให้จองตั๋วรูปแบบกการเช็คอินแบบเช็คทรู (CHECK THRU) การเช็คอินแบบเช็คทรู (CHECK THRU) คือการที่น้องๆ สามารถรับกระเป๋าตนเองได้ในปลายทางเลย ไม่ต้องไปคอยรับกระเป๋าในประเทศทุกๆ ประเทศที่น้องๆ ต้องไปต่อเครื่อง โดยน้องๆ สามารถลงจากเครื่องและไปตามป้ายคำว่า “CONNECTING FLIGHTS” และรอขึ้นเครื่องต่อไปได้เลย ซึ่งประเทศที่สามารถต่อเครื่องจากไทยไปสหรัฐอเมริกาได้นั้น ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี UAE ไต้หวัน เป็นต้น**ข้อแนะนำ: เก็บ BOARDING PASS และ หางตั๋ว (CLAIM TICKET) ไว้ให้ดีที่สุด เพื่อไปให้มีปัญหาระหว่างเดินทาง
2. เผื่อเวลาขึ้นเครื่อง ก่อนอื่นเลยน้องๆ ต้องทราบก่อนว่า การเช็คอินเที่ยวบินต่างประเทศนั้นสามารถทำได้ 3 ชั่วโมงก่อนเวลาเดินทาง เพราะฉะนั้นน้องๆ ควรเผื่อเวลาโดยมาถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องออกประมาณ 3-4 ชั่วโมง และเตรียมเอกสารที่ใช้ในการเช็คอิน และการเข้า IMMIGRATION ให้ครบถ้วน (เอกสารที่ต้องเตรียม: DS2019 และ PASSPORT) รวมไปถึงเผื่อเวลาสำหรับการต่อเครื่องไว้ด้วยอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อจะได้เตรียมตัวสำหรับไฟล์ทบินถัดไป และในกรณีที่น้องๆ ต้องมีการบินต่อเครื่องภายในประเทศอเมริกา น้องๆ ควรเผื่อเวลาสำหรับไฟล์ทถัดไปอย่างน้อย 3 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อสำหรับการเข้า IMMIGRATION (ตม.) หรือเปลี่ยนอาคารโดยสารสำหรับไฟล์ทบินถัดไป
3. การศึกษากฏของสายการบินเกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ ในการจัดกระเป๋า กฎสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่อง – Size กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง 25” – 30” – น้ำหนักกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง 23 กิโลกรัม 2 ใบ (MAX) – ห้ามพกแบตเตอรี่ แล็ปท็อป และวัตถุไวไฟกฎสัมภาระขึ้นเครื่อง – Size กระเป๋าลากขึ้นเครื่อง 22” (MAX) – PERSONAL BAG 1 ใบ – พกแบตเตอรี่ขึ้นเครื่องได้ ปริมาณขึ้นอยู่กับสายการบิน ห้ามพกวัตถุไวไฟ – ของเหลว ขนาดไม่เกิน100ml (g) รวมทั้งหมดไม่เกิน 1 ลิตร (มีฉลากระบุปริมาณชัดเจน)
4. การศึกษาสิ่งต้องห้ามนำเข้าสหรัฐอเมริกา – เครื่องใช้ไฟฟ้า (ระบบไฟที่สหรัฐอเมริกาใช้ 110 โวลท์ ส่วนที่ไทยใช้ 220 โวลท์) – อาหารหรือวัตถุดิบปรุงอาหาร ที่มีหมูเป็นส่วนประกอบ – สารเสพติด ของมีคม และสินค้าการเกษตรทุกชนิด
การไปทำงานต่างประเทศ นอกจากเราจะต้องศึกษาในเรื่องภาษา วัฒนธรรม และสถานที่ทำงานที่เราไปทำแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ อย่างน้องๆ Work and Travel ที่ต้องไปทำงานและท่องเที่ยวในประเทศอเมริกา สิ่งที่ควรรู้เลยนั่นคือ การรู้สิทธิขั้นพื้นฐานของตนเองในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำงาน หรือสิทธิการใช้ชีวิตตลอดระยะเวลาวีซ่าตั้งแต่ที่เราได้เข้าไปพำนักในประเทศนั้น ๆ
ซึ่งทางสถานฑูตอเมริกาในประเทศไทย (Embassy of the United States, Bangkok) ได้ให้ยกระดับเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของน้องนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ใช้วีซ่าประเภท J1 ให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญ โดยน้อง ๆ จะได้อ่านสิ่งที่เรียกว่า “WILBERFORCE” หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า BOOKLETS / PAMPHLET หรือ WHITEBOOK ซึ่งข้อมูลในเล่มดังกล่าว จะประกอบไปด้วย สิทธิขั้นพื้นฐานในอเมริกาทั้งหมด 6 ข้อ ดังนี้.-
1. Your Right to Be Paid Fairly สิทธิในการได้รับการปฏิบัติและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
2. Your Right to Be Free from Discrimination สิทธิที่จะไม่ถูกกักตัวให้ทำงานที่ขัดต่อเจตนารมย์ของท่าน
4. Your Right to a Healthy and Safe Workplace สิทธิในการมีที่ทํางานที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและปลอดภัย
3. Your Rights to Be Free from Sexual Harassment and Sexual Exploitation สิทธิในการแจ้งการกระทำละเมิดทางเพศ หรือ การขู่คุกคามโดยจะไม่ถูกตอบโต้ภายหลัง
5. Your Right to Request Help from Union, Immigrant, and Labor Rights Groups สิทธิในการขอความช่วยเหลือจากสหภาพ ตรวจคนเข้าเมือง องค์กรด้านสิทธิของแรงงาน และองค์กรอื่นๆ
6. Your Right to Leave an Abusive Employment Situation สิทธิในการออกจากสถานการณ์จ้างงานที่ละเมิดสิทธิของท่าน
สำหรับน้องๆ คนไหนที่สนใจไป Work and Travel ที่ประเทศอเมริกา ทักมาหาพี่ๆ IEE ได้เลยน้า 💚✨
สถานที่สัมภาษณ์ : การสัมภาษณ์วีซ่า J1 หรือวีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยสามารถติดต่อสถานฑูต เพื่อไปเข้าร่วมโครงการ Work & Travel นะคะ ซึ่งในประเทศไทย จะมีสถานฑูตอเมริกา 2 แห่ง คือ
U.S. Consulate General Chiang Mai Thailand เชียงใหม่ https://maps.app.goo.gl/XYCkZDDqJUqfdBbC7
U.S. Embassy Bangkok กรุงเทพมหานคร https://maps.app.goo.gl/2qATcHcdBaA4w7UEA
สิ่งต้องห้ามนำเข้าสถานฑูต
แต่ก่อนที่น้องๆ จะเข้าไปในสถานฑูต เช็คก่อนว่า สิ่งใดบ้างที่ห้ามพกเข้าไปในสถานฑูตอเมริกา 1. หูฟัง ทั้งแบบมีสายและไร้สาย 2. กุญแจรถ 3. นาฬิกา Smart Watch 4. เครื่องประดับส่วนตัว 5. คอมพิวเตอร์พกพา 6. IPAD / TABLET 7. บุหรี่ไฟฟ้า 8. สารเสพติดทุกชนิด 9. ของมีคมต่าง ๆ
NOTE: สามารถนำกระเป๋าใบเล็ก ซองเอกสาร บัตรประชาชน และนำโทรศัพท์เข้าสถานฑูตได้เพียง 1 เครื่อง เท่านั้น
ขั้นตอนการเข้าสัมภาษณ์ โดยน้อง ๆ จะได้เข้าสัมภาษณ์หลังจากที่น้อง ๆ ได้รับเอกสารที่ใช้ในการสัมภาษณ์วีซ่าจากพี่ ๆ และจัดเตรียมเอกสารของตนเอง (รายละเอียดเพิ่มเติม https://shorturl.at/wi9kf ) และได้รับคิวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนการสัมภาษณ์ในสถานฑูต จะเป็นดังนี้
ถึงสถานทูตก่อนรอบเวลาของตนเอง ประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
เตรียมพาสปอร์ตและแจ้งรอบเวลานัดกับเจ้าหน้าที่หน้าสถานฑูต – แจ้งรอบเวลาของน้อง ๆ – หากเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะแปะบาร์โค้ดที่ด้านหลังพาสปอร์ตก่อนจะคืนเล่มพาสปอร์ตให้เรา
ฝากโทรศัพท์มือถือ ฝากพร้อมกับบัตรประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่ จะน้อง ๆ ได้รับสายรัดข้อมือที่มีหมายเลขเพื่อใช้ในการรับโทรศัพท์มือถือคืน
ตรวจสัมภาระผ่านเครื่องสแกน วางซองเอกสารและกระเป๋าใบเล็กใส่ถาดพลาสติกทั้งหมด เดินตัวเปล่าผ่านเครื่องสแกน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราหยุดยืนกางแขนหันหน้า หันหลังเพื่อสแกนอีกครั้ง ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย รับถาดพลาสติกและเดินผ่านประตูเข้าไป และรับถาดและของคืน
นั่งรอเรียกตามรอบเวลาของน้อง ๆ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เรียก เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ 5.1) พาสปอร์ต 5.2) รูปถ่าย 1 รูป 5.3) DS2019 5.4) SEVIS
เข้าห้องสัมภาษณ์ และยืนรอคิวเพื่อสัมภาษณ์ ในขั้นตอนนี้จะมีการตรวจสอบเอกสาร ต่อด้วยสแกนลายนิ้วมือที่หน้าต่างและสแกนบาร์โค้ตหลังพาสปอร์ตโดยเจ้าหน้าที่ต่างชาติอีกครั้งหนึ่ง และปิดท้ายด้วยการสัมภาษณ์กับท่านฑูต
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับพี่ๆ IEE
มาทำความรู้จักกับวีซ่าประเภท J1 กันก่อน VISA J-1 คือ วีซ่าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้ ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ หรือประสบการณ์ต่างๆ กับชาวอเมริกัน โดยโครงการที่นักเรียนไทยนิยมเข้าร่วมมีดังนี้
– Exchange Program – Internship Program – Au Pair Program – Work & Travel Program
โดยพี่ ๆ จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับวีซ่าที่ใช้สำหรับการไป Work and Travel เป็นหลัก เนื่องจากน้อง ๆ จำเป็นต้องใช้วีซ่าประเภทนี้ เพื่อได้รับการอนุญาตในการทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เอกสารที่น้องๆ ต้องเตรียมไป มีดังนี้ 1. หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน นับจากวันที่น้อง ๆ จบงานตัวอย่างเช่น หากน้องทำงานที่อเมริกาวันสุดท้ายวันที่ 7 กันยายน 2025 พาสปอร์ตของน้องจะต้องหมดอายุอย่างน้อย วันที่ 7 มีนาคม 2026 (หากพาสปอร์ตหมดอายุก่อนวันที่ 7 มีนาคม 2026 จะไม่สามารถใช้ได้) เป็นต้น
2. หนังสือเดินทางเล่มเก่า (หากมี)
3. รูปถ่ายสำหรับประกอบวีซ่า จำนวน 1 รูป
หน้าตรงเปิดหู ใส่คอนแท็กเลยส์แบบใสได้ แต่ห้ามแบบสี
พื้นหลังต้องเป็นสีขาวเท่านั้น
ขนาด 2×2 นิ้ว (5 ซม.x5 ซม.) จำนวน 1 รูป
ถ่ายไว้ไม่เกินหกเดือน
4. เอกสารรับรองจากมหาลัย ตัวจริง ที่ยังไม่หมดอายุ ฉบับภาษาอังกฤษ
5. เอกสารของผู้สนับสนุน (Sponsor)
หลักฐานการทำงาน (ออกจากบริษัท หรือ ฟอร์มของทางโครงการ ในกรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว)
หลักฐานการเงิน (Bank Letter + Statement ย้อนหลัง 6 เดือน)
6. เอกสารอื่น ๆ
สำเนาทะเบียนบ้าน ของนักเรียน และผู้ปกครอง
สำเนาบัตรประชาชน ของนักเรียน และผู้ปกครอง
สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ ของนักเรียน และผู้ปกครอง (ถ้ามี)
นอกจากนี้ ยังมีเอกสารที่พี่ ๆ จะมีการจัดเตรียมให้น้องในสัมภาษณ์อีกส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ 1. DS-2019 2. ใบเสร็จนักเรียนแลกเปลี่ยน (Sevis)
“โซนธรรมชาติ” ที่หลาย ๆ คนคิด อาจจะเป็นแหล่งชนบท ห่างไกลเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไม่ถึง แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับ ทะเลสาบทาโฮ (Lake Tahoe) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีความยาว 35 กิโลเมตร กว้าง 19 กิโลเมตร และความยาวโดยรอบถึง 490 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่าง รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) และ รัฐเนวาด้า (Nevada) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นทะเลสาบที่มีความกว้างใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
งานพี่ ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน South Lake Tahoe ซึ่งเป็นเมืองริมทะเลสาบที่ทางตอนใต้ของทะเลสาบทาโฮ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ทะเลสาบ ความพิเศษของเมืองนี้คือกว่า 75% ของพื้นที่นั้นอยู่บนผืนน้ำ โดยจะมีถนนที่เชื่อมโยงพื้นที่ภายในเมือง นอกจากนี้เมืองนี้ยังมีโรงแรมระดับ 4 ถึง 5 ดาว คาสิโน รีสอร์ท และที่พักหลากหลายรูปแบบไว้รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ขาดในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ถนนหนทางที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและคนทำงานในย่านนั้น และและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “รถบัส” ซึ่งที่นี่ก็ยังมีบริการบัสฟรีอีกด้วย
Lake Link คือ Application ในการเรียกรถคล้ายกับการเรียกแกร็บในประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบรถรับส่งไมโครทรานซิต สิ่งที่แตกต่างของการเรียกรถในแอปนี้คือ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเรียกเล็กน้อยเท่านั้น บริการ Lake Link มีระยะทางประมาณ 3 ไมล์ผ่านโซนคาสิโนของ Stateline ไปยัง South Lake Tahoe โดยวิ่งไปตามเส้นทาง U.S. Route 50 และ Pioneer Trail แม้ว่าระยะทาง 3 ไมล์อาจจะดูไม่ไกลมากนัก แต่บริการนี้ให้บริการฟรีแก่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ ช่วยเป็นทางเลือกในการลดปัญหาการเมาแล้วขับ และช่วยลดจำนวนยานพาหนะบนท้องถนนในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
แอปนี้จะเปิดให้บริการตลอดทั้งปี ไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 7.00 น. ถึง 21.00 น. และขยายเวลาถึง 23.00 น. ในวันศุกร์และวันเสาร์
ตัวอย่างงานโรงแรม และรีสอร์ทใหญ่ในบริเวณ South Lake Tahoe มีดังนี้
HARRAH’S AND HARVEYS LAKE TAHOE
EDGEWOOD TAHOE
MARGARITAVILLE RESORT LAKE TAHOE
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม